มาตรการดูแลราคาข้าวของรัฐบาลชุดนี้กำหนดให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 วงเงิน 44,437 ล้านบาท คิดเป็นข้าวเปลือก 3 ล้านตัน โดยมีเป้าหมายชะลอการขายข้าวไม่ให้กระทบต่อราคาตลาด แต่ปรากฏว่าชาวนาแห่ขายข้าวในตลาดมากกว่าที่จะเข้าร่วมโครงการสินเชื่อ
ชาวนาแห่ขายข้าวตลาดหลังราคาสูงกว่าสินเชื่อ ธ.ก.ส.
นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เปิดเผยถึงสาเหตุที่ชาวนาแห่ขายข้าวตลาดว่า ราคาข้าวในตลาดสูงกว่าวงเงินสินเชื่อต่อตัน โดยข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 12,000 บาท ขณะที่สินเชื่อชะลอการขายให้เพียงตันละ 10,500 บาท ส่วนข้าวเปลือกพันธุ์อื่นๆ ก็สูงกว่าสินเชื่อเช่นกัน เช่น ข้าวเปลือกเจ้าตันละ 9,000 บาท แต่สินเชื่อชะลอการขายให้เพียงตันละ 8,000 บาท
นอกจากนี้ ชาวนายังมองว่าเงื่อนไขเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายยุ่งยาก ต้องมีหลักประกันการกู้ และยุ้งฉางต้องแข็งแรง ต่างจากโครงการจ่ายเงินค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2566/67 ที่รัฐบาลจ่ายเงินให้ชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือไม่เกิน 20,000 บาท โดยใช้วงเงินงบประมาณ 56,321.07 ล้านบาท จากการโอนเงินให้ชาวนาไร่ละ 1,000 บาท พบว่ามียอดโอนไปแล้วกว่า 44,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าชาวนาให้ความสำคัญกับเงินสดมากกว่าสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกของ ธ.ก.ส.
ยอดจ่ายไร่ละพันพุ่งพรวด
มาตรการดูแลราคาข้าวทั้ง 3 โครงการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินไปอย่างคึกคัก ส่งผลให้มีเงินสะพัดสู่ภาคการเกษตรกว่า 44,000 ล้านบาท โดยโครงการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2566/67 หรือโครงการจ่ายเงินไร่ละ 1,000 บาท (รวม 5 งวด) ที่จ่ายเงินไปแล้วกว่า 3.82 ล้านราย คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 44,000 ล้านบาท
ส่วนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 วงเงิน 34,437 ล้านบาท กำหนดชำระคืนภายใน 5 เดือน ไม่มีดอกเบี้ย (รัฐบาลรับภาระจ่ายแทน) เพื่อดูดซับปริมาณข้าวเปลือกจากท้องตลาด 3 ล้านตัน จ่ายเงินไปแล้ว 303 ล้านบาท และโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปีการผลิต 2566/67 วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 1% ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลรับภาระชำระแทน เป้าหมายรวบรวมปริมาณข้าวเปลือก 1 ล้านตัน จ่ายเงินไปแล้วกว่า 877 ล้านบาท
ชาวนา-สหกรณ์เข้าไม่ถึง
อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตว่า เงื่อนไขในการเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี 2566/67 ของธ.ก.ส. ที่ “ซับซ้อนและยุ่งยาก” จนไม่มีชาวนาเข้าร่วมนั้น ประกอบไปด้วยวงเงินที่จะให้เกษตรกรรายละไม่เกิน 300,000 บาท, สหกรณ์การเกษตร/ชุมนุมสหกรณ์แห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท, กลุ่มเกษตรกรกลุ่มละไม่เกิน 20 ล้านบาท และวิสาหกิจชุมชน/ศูนย์ข้าวชุมชน กลุ่มละไม่เกิน 5 ล้านบาท มีระยะเวลาคืนเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 5 เดือนนับถัดจากเดือนรับเงินกู้ มีระยะเวลาการผ่อนชำระภายใน 5 เดือนนับถัดจากเดือนรับเงินกู้ โดยรัฐบาล “ชดเชย” ดอกเบี้ยแทนผู้กู้ตลอดระยะเวลาโครงการ (ไม่เกิน 31 ธันวาคม 2567) กรณีผิดนัดชำระคิดดอกเบี้ยปรับร้อยละ 3 นับจากวันครบกำหนด
นอกจากนี้ยังต้องมี “หลักประกันการกู้” โดยเกษตรกรใช้การค้ำประกันแบบรับรองรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันเป็นหลักประกันเงินกู้ ส่วนสถาบันเกษตรกรใช้คณะกรรมการของแต่ละสถาบันค้ำประกัน ต้องมีการทำประกันภัยที่ลูกค้าจำเป็นต้องทำ และที่สามารถเลือกทำได้ กรณีสถาบันเกษตรกรต้องทำประกันภัยวินาศภัย โดยทุนประกันครอบคลุมวงเงินกู้ตลอดอายุสัญญา และที่สำคัญผู้กู้จะต้องมี “ยุ้งฉาง” ที่มั่นคงแข็งแรงในการเก็บรักษาข้าวเปลือกตลอดระยะเวลาของโครงการด้วย
จากเงื่อนไขดังกล่าว ส่งผลให้เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ เนื่องจากไม่มียุ้งฉางในการเก็บรักษาข้าวเปลือก อีกทั้งวงเงินกู้ที่จำกัด ทำให้เกษตรกรไม่สามารถกู้ยืมเงินได้เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี 2566/67 ของธ.ก.ส. ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีเงินทุนหมุนเวียนและชะลอการขายข้าวเปลือกในช่วงที่ราคาตกต่ำ
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐบาลควรพิจารณาปรับปรุงเงื่อนไขโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี 2566/67 ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น ขยายวงเงินกู้ให้เพียงพอต่อความต้องการ ผ่อนปรนเงื่อนไขหลักประกันการกู้ และลดขั้นตอนในการเข้าร่วมโครงการ เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงโครงการได้อย่างทั่วถึงและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ