การมีหนี้สินเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสังคมไทย หลายคนตกอยู่ในภาวะหนี้สินท่วมหัวจนเกิดความเครียดและเดือดร้อน บางคนถึงขั้นต้องหนีหนี้หรือถูกฟ้องร้อง ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อชีวิตทั้งในด้านการเงิน การทำงาน และความสัมพันธ์ส่วนตัว ดังนั้นวันนี้เรราจะมาแนะนำแนวทาง วิธีแก้หนี้แบบเร่งด่วน สำหรับลูกหนี้ที่เดือดร้อนเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปชมกันเลย
วิธีแก้หนี้แบบเร่งด่วน สำหรับลูกหนี้ที่เดือดร้อน
การติดหนี้สินเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน หลายคนอาจต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สินจนเกิดความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้สินนอกระบบ หรือหนี้เงินกู้ต่างๆ ดังนั้นหากลูกหนี้ที่กำลังเดือดร้อนและต้องการหาวิธีแก้หนี้แบบเร่งด่วน สามารถทำได้ดังนี้
รวบรวมข้อมูลหนี้สินทั้งหมด
สิ่งแรกที่ต้องทำคือรวบรวมข้อมูลหนี้สินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเงินต้น ดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ย ค่างวด และระยะเวลาที่ต้องชำระคืน โดยสามารถขอข้อมูลจากสถาบันการเงินหรือผู้ให้กู้ได้ การรวบรวมข้อมูลหนี้สินทั้งหมดเป็นขั้นตอนสำคัญในการแก้ปัญหาหนี้สิน โดยข้อมูลที่ต้องรวบรวมมีดังนี้
- จำนวนหนี้สินทั้งหมด แบ่งออกเป็นหนี้ระยะสั้นและหนี้ระยะยาว
- ประเภทของหนี้สิน เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์
- อัตราดอกเบี้ยของหนี้สินแต่ละประเภท
- จำนวนเงินที่ต้องชำระในแต่ละงวด
- วันที่ครบกำหนดชำระ
ข้อมูลเหล่านี้สามารถรวบรวมได้จากเอกสารต่างๆ เช่น ใบแจ้งหนี้ สัญญากู้ยืมเงิน สมุดบัญชีเงินฝาก เป็นต้น ส่วนขั้นตอนรวบรวมข้อมูลหนี้สินมีดังนี้
- รวบรวมเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหนี้สินทั้งหมด
- ตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ในเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วน
- จัดเรียงข้อมูลทั้งหมดให้เป็นระเบียบ
- คำนวณจำนวนเงินที่ต้องชำระในแต่ละงวด
ตัวอย่างตารางรวบรวมข้อมูลหนี้สิน
ประเภทหนี้สิน | จำนวนเงินต้น | อัตราดอกเบี้ย | จำนวนเงินที่ต้องชำระในแต่ละงวด | วันที่ครบกำหนดชำระ |
---|---|---|---|---|
บัตรเครดิต | 100,000 บาท | 20% ต่อปี | 5,000 บาท | 25 กรกฎาคม 2567 |
สินเชื่อส่วนบุคคล | 200,000 บาท | 15% ต่อปี | 10,000 บาท | 31 กรกฎาคม 2567 |
สินเชื่อบ้าน | 3,000,000 บาท | 5% ต่อปี | 150,000 บาท | 31 ธันวาคม 2567 |
ทำการประเมินความสามารถในการชำระหนี้
หลังจากรวบรวมข้อมูลหนี้สินทั้งหมดแล้ว ให้ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของตนเอง โดยพิจารณาจากรายได้และรายจ่ายในปัจจุบันว่าจะสามารถชำระหนี้ได้จำนวนเท่าใดในแต่ละเดือน สำหรับวิธีประเมินความสามารถในการชำระหนี้มีดังนี้
- คำนวณรายได้ต่อเดือน โดยรวมรายได้จากทุกแหล่ง เช่น เงินเดือน รายได้จากการทำงานพิเศษ รายได้จากการลงทุน เป็นต้น
- คำนวณค่าใช้จ่ายต่อเดือน โดยรวมค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ค่าเช่า ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าผ่อนหนี้ ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น
- คำนวณความสามารถในการชำระหนี้ โดยนำรายได้ต่อเดือนหักด้วยค่าใช้จ่ายต่อเดือน
ตัวอย่างการคำนวณความสามารถในการชำระหนี้
- รายได้ต่อเดือน 50,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายต่อเดือน 30,000 บาท
- ความสามารถในการชำระหนี้ 20,000 บาท
ความสามารถในการชำระหนี้ที่เพียงพอควรอยู่ที่ประมาณ 25% ของรายได้ต่อเดือน หากความสามารถในการชำระหนี้น้อยกว่า 25% แสดงว่าลูกหนี้มีภาระหนี้สินมากเกินไป และอาจประสบปัญหาในการชำระหนี้ในอนาคต หากความสามารถในการชำระหนี้ไม่เพียงพอ อาจจำเป็นต้องปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง หรือหารายได้เสริมเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ นอกจากนี้ ควรพิจารณาอัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้ (Debt-to-Income Ratio) เพื่อประเมินความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ โดยคำนวณจากอัตราส่วนของหนี้สินทั้งหมดต่อรายได้ต่อเดือน โดยทั่วไป หากอัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้เกิน 50% แสดงว่าลูกหนี้มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้สูง
ไปเจรจาขอลดหนี้
หากความสามารถในการชำระหนี้ไม่เพียงพอต่อภาระหนี้สินทั้งหมด อาจพิจารณาเจรจาขอลดหนี้กับสถาบันการเงินหรือผู้ให้กู้ โดยอาจขอลดจำนวนเงินต้น ดอกเบี้ย หรือระยะเวลาผ่อนชำระ ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี ดังนี้
- ขอพักชำระหนี้ เป็นการขอผ่อนผันการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นการชั่วคราว ซึ่งอาจทำได้ในกรณีลูกหนี้ประสบปัญหาทางการเงิน เช่น ตกงาน เจ็บป่วย เป็นต้น
- ขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้ เป็นการขอยืดระยะเวลาการชำระหนี้ออกไป โดยอาจขอขยายระยะเวลาชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย หรือขอขยายระยะเวลาชำระหนี้เฉพาะเงินต้น
- ขอลดยอดหนี้ เป็นการขอลดจำนวนเงินที่ต้องชำระคืน โดยอาจขอลดยอดหนี้เฉพาะเงินต้น หรือขอลดยอดหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย
- ขอลดดอกเบี้ย เป็นการขอลดอัตราดอกเบี้ยในการชำระหนี้ ซึ่งอาจทำได้ในกรณีลูกหนี้มีประวัติการชำระหนี้ที่ดี หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ก่อนเจรจาขอลดหนี้ ควรเตรียมเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้พร้อม เช่น ใบแจ้งหนี้ สัญญากู้ยืมเงิน สมุดบัญชีเงินฝาก เป็นต้น และเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้ เช่น รายได้ต่อเดือน ค่าใช้จ่ายต่อเดือน เป็นต้น ในการเจรจาขอลดหนี้ ควรมีท่าทีที่สุภาพและจริงใจ อธิบายถึงสถานการณ์ทางการเงินของตนเอง และแสดงความจริงใจว่าต้องการที่จะชำระหนี้ หากการเจรจาขอลดหนี้ไม่สำเร็จ อาจจำเป็นต้องหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหรือกฎหมาย เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาหนี้สินที่เหมาะสมกับตนเอง
ขอความช่วยเหลือจากครอบครัว
หากไม่สามารถหาทางแก้ไขได้ด้วยตัวเอง อาจขอความช่วยเหลือจากครอบครัวหรือคนรู้จัก เพื่อแบ่งเบาภาระหนี้สิน การขอความช่วยเหลือจากครอบครัวในการแก้หนี้ เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดภาระหนี้สินของลูกหนี้ได้ โดยครอบครัวอาจช่วยเหลือได้หลายวิธี เช่น
- ให้ยืมเงิน เพื่อชำระหนี้ หรือเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้
- ช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเช่า ค่าอาหาร ค่าเดินทาง เป็นต้น
- ให้คำปรึกษาและกำลังใจ เพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถผ่านพ้นปัญหาหนี้สินไปได้
ก่อนขอความช่วยเหลือจากครอบครัว ควรพูดคุยกับสมาชิกในครอบครัวอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา อธิบายถึงสถานการณ์ทางการเงินของตนเอง และขอความช่วยเหลือที่เหมาะสมกับสถานการณ์
หารายได้เสริมเพื่อแก้หนี้
การหารายได้เสริมเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ลูกหนี้สามารถเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ได้ โดยรายได้เสริมสามารถมาจากการทำงานพิเศษ การทำธุรกิจส่วนตัว หรือการลงทุน หรือหากความสามารถในการชำระหนี้ไม่เพียงพอ อาจพิจารณาหารายได้เสริมเพื่อเพิ่มเงินหมุนเวียนในการชำระหนี้ เช่น ทำงานพิเศษ รับจ้างทั่วไป หรือขายของออนไลน์
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญสำหรับแก้หนี้
หากต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน อาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหรือกฎหมาย เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินที่เหมาะสมโดยการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญสำหรับแก้หนี้ เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยให้ลูกหนี้สามารถหลุดพ้นจากวังวนของหนี้สินได้ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหรือกฎหมายสามารถให้คำแนะนำและแนวทางในการแก้ปัญหาหนี้สินที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของลูกหนี้ สำหรับหน่วยงานที่ให้บริการปรึกษาแก้หนี้มีดังนี้
- ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ให้บริการปรึกษาปัญหาหนี้สินโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- สำนักงานยุติธรรมจังหวัด ให้บริการปรึกษาปัญหาหนี้สินโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- สถาบันการเงินต่างๆ อาจมีบริการให้คำปรึกษาปัญหาหนี้สินแก่ลูกค้า
- บริษัทที่ปรึกษาด้านการเงิน ให้บริการให้คำปรึกษาปัญหาหนี้สินโดยมีค่าบริการ
ลูกหนี้ควรเลือกหน่วยงานหรือผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้ และมีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาปัญหาหนี้สินในการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญสำหรับแก้หนี้ ควรเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับหนี้สินของตนเองให้พร้อม เช่น รายการหนี้สิน ยอดหนี้คงค้าง อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น และเตรียมคำถามเกี่ยวกับแนวทางในการแก้ปัญหาหนี้สิน การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญสำหรับแก้หนี้อาจใช้เวลาและค่าใช้จ่าย แต่หากประสบความสำเร็จจะช่วยให้ลูกหนี้สามารถหลุดพ้นจากวังวนของหนี้สินได้ นอกจากการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญแล้ว ลูกหนี้ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย เพื่อลดภาระหนี้สินในอนาคต เช่น ใช้จ่ายอย่างมีสติ หลีกเลี่ยงการใช้จ่ายเกินตัว และสร้างเงินออม
ข้อควรระวังในการแก้ปัญหาหนี้สิน ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวัง โดยไม่ควรหลงเชื่อการหลอกลวงต่างๆ เช่น การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง หรือการรับข้อเสนอลดหนี้ที่ผิดปกติ นอกจากนี้ ควรขอข้อมูลและเอกสารต่างๆ จากสถาบันการเงินหรือผู้ให้กู้อย่างครบถ้วน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการเจรจาขอลดหนี้หรือฟ้องร้องหากจำเป็น