ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ แก่ก่อนรวย จากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2564 ประเทศไทยมีประชากรสูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไป สูงถึง 14% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 28% ในปี 2573 ซึ่งหมายความว่า ไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุขั้นสูงสุด (Super-aged society)
ไทยเสี่ยงตกหลุมพราง “แก่ก่อนรวย” จีดีพีต่อหัวต่ำ ผลิตภาพลดลง
ปัญหาสังคมผู้สูงอายุส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลายประการ ประการแรก อุปทานแรงงานจะลดลง เนื่องจากจำนวนประชากรวัยทำงานลดลง ส่งผลให้ผลิตภาพต่อหัวประชากรลดลงตามไปด้วย
ประการที่สอง รัฐบาลต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายสวัสดิการสังคมเพิ่มขึ้น เนื่องจากจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การจัดสรรงบประมาณในการลงทุนและการพัฒนาประเทศทำได้ยากขึ้น
ประการที่สาม รายได้ต่อหัวประชากรจะลดลง เนื่องจากประชากรสูงวัยมีแนวโน้มที่จะมีเงินออมและเงินบำนาญน้อยกว่าประชากรวัยทำงาน
ประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีจีดีพีต่อหัวต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ที่มีจีดีพีต่อหัวคิดเป็น 5 เท่าของไทย หมายความว่า คนไทยจะแก่ก่อนรวย ในขณะที่ญี่ปุ่นรวยแล้วค่อยแก่ ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงต้องเร่งหาทางออกเพื่อรับมือกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุ โดยอาจพิจารณามาตรการต่างๆ ดังนี้
แนวทางรับมือกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุ
26
- ปฏิรูประบบบำนาญ เพื่อเพิ่มความยั่งยืนในระยะยาว
- เพิ่มอายุเกษียณ เพื่อชะลอการลดลงของแรงงานวัยทำงาน
- ส่งเสริมให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสการปันผลทางประชากร
- ลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงาน
ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่ต้องเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุ ประเทศกำลังพัฒนาอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ก็กำลังเผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน หากประเทศเหล่านี้ไม่สามารถรับมือกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุได้ทันท่วงที อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศในระยะยาว
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ จากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลายประการ และอาจทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง หากไม่สามารถรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างทันท่วงที